การใช้ข้อเสนอพิเศษสำหรับร้านค้าออนไลน์นั้น สามารถช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดีหากใช้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งแคมเปญและเวลาที่จัดทำขึ้น แต่กระนั้น ก็อาจจะต้องคำนึงถึงผลกระทบในด้านลบที่อาจจะตามมาด้วย ซึ่งการมีข้อเสนอพิเศษ การลดราคาสินค้า ที่บ่อยเกินไป อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และหากใช้บ่อยจนเกินไป จะทำให้ผู้คนนั้นชินกับการลดราคา จนไม่ทำการซื้อในช่วงเวลาที่ไม่มีข้อเสนอพิเศษ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาวได้ ดังนั้น ก่อนที่จะนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้งาน จึงควรทำความเข้าใจระหว่างข้อดีและข้อเสียของการใช้ข้อเสนอพิเศษ
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ข้อเสนอพิเศษสำหรับร้านค้าออนไลน์ ข้อดี สามารถเปิดร้านได้ง่าย, รวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการสร้างที่ต่ำกว่าการมีหน้าร้านปกติ ง่ายต่อการติดตามผลและรายงานการโฆษณาและแคมเปญออนไลน์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้น เพิ่มอัตราการซื้อของลูกค้าได้มากขึ้น มีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความจงรักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ข้อเสีย อัตรากำไรลดลง มีโอกาสที่แบรนด์จะเสียภาพลักษณ์ ยอดขายในช่วงเวลาปกติที่ไม่มีข้อเสนอพิเศษจะลดลง ความจงรักภีสำหรับลูกค้าที่สนใจเฉพาะข้อเสนอพิเศษลดลง เปอร์เซ็นต์ยอดขายเฉลี่ยต่อหัวลดลง ประเภทของข้อเสนอพิเศษสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท 1. การลดราคาเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการยื่นข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้า เช่น หากต้องการกระตุ้นยอดขายเพียงเล็กน้อยก็ใช้ตัวเลขที่ 5%-10% หากต้องการยอดการเพิ่มมากขึ้นก็อาจจะใช้ช่วง 20%-25% แต่หากต้องการโละสินค้าที่คงค้างในสต็อคก็ใช้ตัวเลขในช่วง 50%-80% เป็นต้น การลดราคาเป็นตัวเลข การลดราคาเป็นตัวเลข มักจะทำได้ดีกว่าในสินค้าที่มีราคาสูง ในขณะที่การลดแบบเป็นเปอร์เซ็นต์นั้น เหมาะกับสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก ทั้ง ๆ ที่ อาจจะลดเท่ากัน แต่ตัวเลขที่ลูกค้ามองเห็น จะมีผลต่อจิตวิทยาในการซื้อ เช่น หากสินค้าราคา 10 บาท ลด 20% ดูมีค่ามากกว่า การที่จะบอกลูกค้าว่าลด 2 บาท และอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติว่าสินค้าราคา 1,000 บาท ลด 200 บาท จะดูมีค่ามากกว่าการบอกลูกค้าว่าลด 20% 2. ส่งสินค้าฟรี สาเหตุที่ลูกค้ามักจะไปไม่ถึงขั้นตอนการชำระเงินบนร้านค้าออนไลน์เป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ ค่าจัดส่ง ซึ่งหากใช้เทคนิคการจัดส่งฟรี แต่ให้เพิ่มเงื่อนไขลงไป เช่น เมื่อซื้อครบ 500 บาท จัดส่งสินค้าฟรีทั่วประเทศ โดยวิธีนี้ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อหัวได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าซื้อสินค้าเพียง 1 ชิ้น ที่ราคา 300 บาท โดยมีค่าจัดส่งเพิ่มเติมอีก 50 บาท แต่เมื่อลุกค้าเห็นข้อเสนอพิเศษในการจัดส่งฟรี จึงหยิบสินค้าลงตะกร้าอีก 1 ชิ้น รวมเป็นเงิน 600 บาท แทนที่จะมียอดขายเพียง 300 บาท แต่กลับได้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะ ข้อเสนอพิเศษในการจัดส่งสินค้าฟรี เป็นต้น 3. ได้รับของแถมฟรี การใช้ข้อเสนอในการแถมสินค้าเป็นเทคนิคที่สามารถช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อคนได้ หรือหากต้องการระบายสินค้าที่คงค้างก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เช่นกัน 4. ใช้ข้อเสนอพิเศษในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งเรามีวิธี ทั้งหมดอยู่ 8 วิธีการใช้ข้อเสนอพิเศษในโอกาสต่าง ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์ ดังนี้ วิธีที่ 1 – การใช้ข้อเสนอพิเศษในช่วงปลายสัปดาห์หรือปลายเดือน วิธีการนี้เป็นวิธีการยอดนิยมที่ใช้โดยปกติในห้างสรรพสินค้าหรือหน้าร้านค้าทั่วไป ซึ่งต้องการผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าในช่วงสินเดือนหรือไตรมาสสุดท้าย วิธีที่ 2 – การใช้ข้อเสนอพิเศษในช่วงก่อนเปิดตัวสินค้า วิธีนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่กำลังจะเปิดตัวสินค้าใหม่หรือใช้ในช่วงเปิดตัวกิจการใหม่ก็สามารถทำได้ เพื่อเพิ่มความสนใจให้มากที่สุด วิธีที่ 3 – ใช้ข้อเสนอพิเศษในช่วงวันหยุดเทศกาลหรือวันสำคัญในแต่ละฤดูกาล อย่าลืมใช้ข้อเสนอพิเศาในช่วงวันหยุดเทศกาลหรือวันสำคัญพิเศษ ๆ ในแต่ละเดือน เช่น วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันคริสต์มาส วันวาเลนไทน์ วันเด็ก วันครู เป็นต้น วิธีที่ 4 – การส่งข้อเสนอพิเศษสำหรับสมาชิกที่ลงทะเบียน หากคุณเรียนรู้การสร้างรายชื่อฐานลูกค้าด้วยวิธีการ Lead Generation คุณก็สามารถที่จะส่งข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ สำหรับสมาชิกที่ลงทะเบียนกับคุณไว้เรียบร้อยแล้วไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสเฉพาะการเพิ่มยอดขายเท่านั้น แต่สามารถส่งข่าวสารอัพเดทและข้อเสนอพิเศษสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งต่อไปได้อีกด้วย วิธีที่ 5 – ข้อเสนอพิเศษสำหรับ Like Share Comment บน Social Network เทคนิคนี้ อาจจะใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่พึ่งเปิดใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างเพียงพอบนโลกออนไลน์ ที่จะขอความร่วมมือจากแฟนเพจหรือผู้ติดตามบน Facebook ให้ Like Share Comment เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษที่จะได้รับ แต่ข้อดีสำหรับธุรกิจที่มีร้านค้าออนไลน์อยู่แล้ว จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการมองเห็นข้อเสนอของคนบนโลกโซเชียลได้มากขึ้น และยอดขายก็มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย วิธีที่ 6 – การใช้ข้อเสนอกับว่าที่ลูกค้าใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อขายครั้งแรกของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ใหม่ การยื่นข้อเสนอพิเศษสำหรับการซื้อครั้งแรก ก็สามารถทำให้โอกาสที่ผู้เยี่ยมชมกลายมาเป็นลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะจากสถิติพบว่า ลูกค้าใหม่แทบจะออกจากเว็บไซต์ในทันทีและอาจไม่กลับมาอีกเลย ในกรณีที่ไม่ได้รู้จักแบรนด์นั้น ๆ มาก่อน แต่หากเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าได้ทันที ซึ่งจะทำให้โอกาสในการนำเสนอขายในครั้งต่อ ๆ ไป จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะลูกค้าเคยอุดหนุนสินค้ามาก่อนหน้านี้แล้ว วิธีที่ 7 – กำหนดการซื้อขั้นต่ำเพื่อรับสิทธิพิเศษ สามารถใช้การจัดส่งฟรี, การลดราคาหรือของแถม ถ้าหากลูกค้าซื้อสินค้าถึงจำนวนขั้นต่ำ โดยจะทำให้ค่าเฉลี่ยของยอดขายต่อคนสูงมากขึ้น วิธีที่ 8 – การให้ข้อเสนอพิเศษกับลูกค้าชั้นดี วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มความจงรักภักดีแก่ลูกค้าต่อแบรนด์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถส่งข้อเสนอพิเศษเฉพาะกลุ่มนี้ได้ เนื่องจากลูกค้าเก่าคุณจะมีข้อมูลการติดต่ออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร หรือ ข้อความแชทต่าง ๆ การใช้เทคนิคการนำเสนอข้อเสนอพิเศษให้กับผู้คนบนโลกออนไลน์นั้น อาจไม่ได้ผลทุกคน แต่คุณก็สามารถที่จะใช้เทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มความจงรักภักดีต่อแบรนด์ Cr: stepstraining.co
0 Comments
5 เทคนิค โพสต์เพจ กระตุ้นยอดขาย
เทคนิคการทำเพจให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าในร้านครับ 1. การตกแต่งเพจ เริ่มตั้งแต่ cover page ภาพโปรไฟล์ต้องสวยงาม ดูดี สื่อให้เห็นถึงสินค้าที่เราจะขายอย่างชัดเจน 2. ภาพสินค้าหรือภาพที่จะโพสแต่ละโพส ต้องสวยงาม ดึงดูด และสะดุดตาครับ 3. เนื้อหาหรือ content ต้องดึงดูด ตั้งแต่หัวข้อ จนกระทั่งเนื้อหาข้างใน สื่อความให้ชัดเจนว่า 3.1 สินค้าเราให้ประโยชน์อะไรแก่ลูกค้า เมื่อซื้อไปแล้วลูกค้าจะได้อะไรบ้าง หรือเราไปช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร 3.2 บอกถึงผลลัพท์ของลูกค้าที่เคยใช้สินค้าของเรา ทั้งก่อนและหลังใช้ว่าเป็นยังไง (ต้องมีรีวิวให้เขาเชื่อถือครับ) 3.3 ใส่ราคาให้เรียบร้อย รวมถึงส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่เราเสนอให้ลูกค้า 3.4ใส่รายละเอียดในการสั่งซื้อไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรหรือไลน์ 3.5 ควรโพสเนื้อหาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การขายเพียงอย่างเดียว เช่น เนื้อหาสาระเกี่ยวกับสินค้าของคุณ เช่น ถ้าคุณขายครีมหน้าใส ก็อาจจะเอาเทคนิคการแต่งหน้าหรือเทคนิคการดูแลผิวหน้ามาโพสเพื่อให้ประโยชน์แก่ลูกค้าได้ หรือจะโพสเนื้อหาอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสินค้าเลย แต่เน้นให้ลูกค้ามีความสุขเช่น พวกคำคม วิดีโอตลก ๆ หรือข่าวตามกระแส หรืออื่น ๆ 3.6 ก็ควรอัพเดทเนื้อหาทุกวัน วันละ 3-4 โพส 3.7 แทรก วิดีโอ content ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สด ขายของหรือไลฟ์แจกของ หรือไลฟ์อื่น ๆ ที่จะทำให้ลูกค้ามีความสุข มันจะเป็นการดึงดูดลูกค้ามาที่เพจของคุณได้มากทีเดียว 4. ในเพจควรมีภาพรีวิวสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเชื่อถือ 5. เมื่อปรับเพจตามข้อที่ 1 -4 เสร็จแล้วก็ต้องลงโฆษณาเพื่อให้มีคนเห็นสินค้ามากขึ้นครับ หากต้องการปรึกษาเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ กดทักไลน์มาได้เลยครับ ทีมงานให้คำปรึกษาฟรีครับ https://line.me/R/ti/p/%40reviewrich หรือกดแอดไลน์ @reviewrich (ใครอยากโพสต์ขายสินค้า โพสต์ขายฟรี ใต้โพสต์นี้ ได้เลยครับ) #วิธีเพิ่มยอดขาย #วิธีขายของออนไลน์ให้ได้ผล #เทคนิคขายของออนไลน์ 10 ขั้นตอนเขียน Content อย่างไรให้แซ่บโดนใจลูกค้า
ถ้าเปรียบบทความหรือ Content เหมือนอาหารสักจาน พวกเราคิดว่าอาหารแบบไหนจึงจะถูกใจคนทานครับ !!! วันนี้ผมอยากจะลองทำเมนูมาเสริฟกับผู้อ่าน สำหรับการเตรียมการปรุงความแซ่บให้กับ Content ก่อนที่เราจะลงมือปรุง เสริฟให้กับลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะผ่านทาง website หรือ Social Media ต่างกันกันครับ ก่อนปรุงคอนเทน เราต้องเตรียมอะไรบ้าง ? 10 ขั้นตอนการเขียน Content อย่างไรให้โดนใจ 1.ต้องรู้ก่อนว่าผู้อ่านบทความเราเป็นใคร อย่างแรกเลยทีเดียวเราต้องรู้ว่าลูกค้าหรือคนอ่านบทความของเราเป็นใคร ผมยกตัวอย่างหากเราเปิดร้านส้มตำไก่ย่าง เราก็ต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใครใช่ไหมหละ รู้ว่าเขาชอบรสชาติแบบไหน ตำไทย ตำปูปลาร้า ฯ มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าดูนักที่หากเรานำร้านส้มตำแบบเพิงข้างทางไปวางบนห้างสยามพารากอน หรือจัดแต่งร้านหรูแบบสยามพารากอนไปเปิดแถวโรงงานย่านสมุทรสาครฯ มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ “อาหาร” กับ “บทความ” ต้องวางให้ถูกที่เสริฟให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร นี่แหละครับคือสิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือ “กำหนดกลุ่มลูกค้า” ให้ชัดเจนก่อนที่จะลงมือทำสูตรอาหาร ลงมือเขียนบทความ 2.กำหนดหัวข้อบทความให้กระตุกสายตา กระชากอารมณ์ คราวนี้มาเปิดดูเมนูอาหารกันครับ เอาร้านส้มตำนี่แหละ เมนูเขียนว่า “ส้มตำปลาร้า” กับ “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” ,”ส้มตำปลาร้าโลโซ” อย่างไหนทำให้เราสะดุดตาและอยากลองชิมมากกว่ากันครับ ผมว่าหลายคนอยากรู้ว่า ไอ้เจ้า “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” หรือ “ส้มตำปลาร้าโลโซ” นี่น่าตามันเป็นอย่างไร รสชาติมันจะเป็นอย่างไร เช่นครับการตั้งหัวข้อของบทความมันก็ต้อง สะดุดตา สร้างความน่าสนใจ ชวนสงสัย อยากติดตาม อยากลอง อยากอ่าน อยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นอย่างไร 3.เนื้อหาบทความที่เขียนตรงกับหัวข้อที่ตั้งไว้ เอาหละคราวนี้คุณลองสั่ง ส้มตำปลาร้าไฮโซ มาลองทาน แต่ปรากฏว่าเมื่อพนักงานมาเสริฟกลับกลายเป็น มีส้มตำอยู่นิดเดียว จัดตกแต่งจานก็ธรรมดามาก ไม่ได้มีความ ไฮโซ เหมือนกับที่เขียนไว้ ท่านจะรู้สึกเช่นไร….แมร่งไม่ได้เรื่องเลยหวะ กรูไม่น่าสั่ง !!! (นี่ผมแอบรำพึงในใจนะครับ หวังว่าคงไม่มีใครได้ยิน) ผมคิดว่าหลายคนคงเจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันในการเห็นบทความบนหน้าเว็บหัวข้อน่าสนใจมาก แต่พอเปิดเข้าไปไม่มีอะไรเลย ข้อความอะไรก็ไม่รู้ไม่ได้เป็นสาระ ที่เหลือก็เป็นโฆษณาเสียส่วนใหญ่….ผมนี่เสียอารมณ์เลย ลองคิดถึงใจเขาใจเรานะครับ เมนูน่าสนใจ เนื้อในต้องน่าสนใจยิ่งกว่าครับ !!! ไม่ใช่หัวข้อล่อใจ แต่พอเปิดเข้าไปมีแต่เรื่องไร้สาระ 4.ใส่ Value หรือคุณค่าในบทความ อะไรที่เราปรารถนาจะได้เห็นจาก “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” การจัดวางอาหารที่เห็นแล้วต้องรีบโทรศัพท์ แล้วต้องรีบโพส รีบแชร์ เมื่อลองชิมต้องรีบยกนิ้วให้ นี่มันอร่อยโครตๆ ไปเลย….. คิดเหมือนผมไหม !!! ร้านอาหารคุณค่ามันก็คือความ อร่อย สะอาด และบริการที่ดีเยี่ยม แล้วบทความเราหละ ได้ให้คุณค่าอะไรกับผู้อ่าน อย่าคิดเพียงว่า “ขายเครื่องสำอาง” จะต้องนำเสนอแค่เรื่องผิวพรรรณ หน้าตา ปัญหาสิว กระ ฝ้าฯ เรื่องของ Core หรือแกนหลักของธุรกิจอาจจะใช่คำตอบที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เพิ่มคุณค่ามากกว่าปัญหาพื้น ๆ คือ ความเป็นมืออาชีพในเรื่องนั้น ๆ นะครับ อาหารอร่อย บทความของเราก็มีความอร่อย ออกรสออกชาติเช่นกันครับ ไม่ใช่จืดชืด เป็นน้ำเปล่า…. สำรวจดูนะครับ “คุณค่า” บทความของเรามันเป็นอย่างที่เราเสนอและอย่างที่ลูกค้าต้องการหรือเปล่า ถ้าไม่ก็แค่ปรับมันก็เท่านั้นเอง 5.อย่าทิ้งความบันเทิง หรือ Entertain บทความต้องมีสีสัน ส้มตำต้องกินกับอะไรถึงอร่อย !! สั่งส้มตำมาจานเดียวมันอร่อยไหม…… ก็คงพอได้นะ แต่ถ้ามีผักเครื่องเคียง มีเส้นขนมจีน หรือสั่งปีกไก่ทอด หรือ ไก่ย่างมาร่วมด้วย มื้อนี้อร่อยจนต้องบอก ว่าไหม ? ใช่ครับ บทความมันก็เหมือนส้มตำจานเดียวที่เราสั่งมาหนะแหละ สั่งมาอย่างเดียวก็อร่อย แต่ขาดความกลมกล่อม ขาดความอร่อยอะไรไปสักอย่างแน่นอน บทความนอกจากจะให้ “คุณค่า” แล้ว มันต้องหยอดลูกเล่น เครื่องเคียงเข้าไปด้วยครับ มันถึงจะ เออ !!! น่าสนใจ ได้ความรู้ ได้ความรู้สึก แต่ ๆๆๆ ลูกเล่น ลูกหยอด มันต้องอยู่บน “กาละ และ เทศะ” นะครับ !!! นั่นหมายความว่า หากลูกค้าหรือกลุ่มผู้อ่านเราเป็นผู้ใหญ่มากจะมาเล่นมากไปก็ไม่ได้ หรือเป็นเด็กจะมาตึงก็ไม่ไหวนะครับ กลับไปดูครับ ลูกค้าเขาต้องการอะไร ลูกค้าเราเป็นใคร แล้วเสริฟ เอ็นเตอร์เทรน เข้าไปครับ รับรองโอกาสในการขายเราจะเพิ่มมากขึ้น แม้อาหารหรือบทความบางอย่างเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา เราก็สามารถสร้างความสนุกความมันส์ขึ้นมาได้ เช่น ก๊วยเตี๋ยวจากยักษ์สั่งกันมากินได้ 4 คน เห็นไหมว่ามันก็แค่ก๊วยเตี๋ยว แต่เติมความใหญ่ ความน่าสนใจเป็นกิมมิค ตัวเอ็นเตอร์เทรนเข้าไป หา “จุดเอ็นเตอร์เทรน” ของบทความเราให้เจอครับ แล้วบทความมันจะช่วยเราขายสินค้า 6.สรุปประเด็นบทความเป็นข้อ ๆ ช่วยย่อยให้ลูกค้าครับ ถ้าเป็นซูชิก็เป็นคำพอดี บทความเราก็ต้องย่อยให้ลูกค้าสรุปประเด็นเป็นข้อ ๆ 1,2,3…….. เป็นอะไรอย่างไร ตัวอย่างบทความที่คุณอ่านอยู่นี่แหละครับ ผมสรุปให้เป็นข้อ ๆ ว่าหากต้องการเขียนบทความให้โดนใจลูกค้าต้องทำอย่างไร คราวนี้เราเองก็ต้องนำกลับไปปรับใช้กับธุรกิจเรานะครับ อย่าเขียนบทความเป็นพรรณาโวหาร สาธยา-สารธตา จนยืดยาวแต่สรุปเป็นประเด็นไม่ได้ หลักการที่ผมใช้คือ เขียนประเด็นหัวข้อขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาเขียนคำบรรยายในแต่ละหัวข้อครับ คิดให้จบก่อนแล้วค่อยลงรายละเอียดในแต่ละประเด็น ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ หาจุดจบไม่ได้ และ พากันออกทะเล 7.ใช้ภาษาเดียวกับผู้อ่าน ไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคมาก เราไม่ได้เขียนให้ “ตัวเราอ่าน” แต่เรากำลังเขียนให้ “ลูกค้า” เราอ่าน ภาษาที่ใช้ก็ควรเป็นภาษาเดียวกับลูกค้า หลายคงงง ยังไงภาษาเดียวกับลูกค้า !!! เอางี้ คิดตามผมนะครับ น่าจะดูการ์ตูนสำหรับเด็กไหม เสียงภาษาก็จะเป็นแบบเด็กๆ คราวนี้กลับมาดูละครหลังข่าว เรื่องของผู้ใหญ่ก็จะใช้ภาษาการเดินเรื่องอีกแบบ นั่นหละครับ สิ่งที่เราเขียน เราสร้าง Content มันก็ทำเหมือนกัน คุยกับเด็กก็ ใช้ภาษาเขา …. คุยกับผู้ใหญ่ก็ใช้ภาษาผู้ใหญ่ (ผมไม่ได้หมายถึงหนัง Av ที่หลายคนแอบคิดนะครับ 555 ) อีกอย่างที่สำคัญคือ อย่าพยายาม สร้าง Different ใช้ Technical Term ให้มากนัก ทำเป็นเก่ง…5555 ผมยกตัวอย่างย่อหน้านี้ให้เห็นะครับ รู้สึกไหมว่า ทำไมต้องใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือ ทำให้มันดูยากทำไม นั่นหละครับ ไม่ต้องใช้ หรือหากจำเป็นต้องใช้ก็ควรบอกความหมายด้วยว่ามันคืออะไร สิ่งที่ควรเขียนในย่อหน้านี้ควรจะเป็น “อีกอย่างที่สำคัญคือ อย่าพยายามสร้างความแตกต่าโดยใช้คำศัพท์ยากๆ” อะไรทำนองนี้ครับ เข้าใจง่ายกว่า 8.กำหนดเป้าหมาย วัดการแชร์ คาดคะเนคำ Comment และจำนวน Like เราต้องถอดความคิดตัวเองออกเวลาเขียนเสร็จ แล้วลองคิดดูสิว่า บทความที่เราเขียนนั้น เมื่อเราอ่านแล้วเราจะกด Like ไหม แล้วเราจะแชร์บอกเพื่อนหรือเปล่า สุดท้ายเราจะคอมเมนต์บทความนี้หรือไม่ หากเราทำมาดีตั้งแต่ต้นมันก็เหมือนกับ “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” ที่ผมยกเป็นตัวอย่าง เราทานแล้วอร่อยก็อยากบอกต่อให้เพื่อนมาทาน ชวนเพื่อนมาทาน เราเองก็กลับมาทานอีก สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจยุคสมัยนี้คือทำอย่างไรให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก โจทย์ยากหากเราไม่วางแผนครับ จุดไหนที่เราอยากให้เขาบอกต่อ บอกต่อด้วยเหตุผลอะไร ทุกอย่างต้องคิดครับ !!! 9.อย่าลืมเรื่อง SEO เพื่อทำให้ติดอันดับ google ในบทความของเรา 2 ข้อท้ายนี้เป็นส่วนเสริมความแซ่บนะครับ ไหน ๆ เราจะสร้างบทความหรือ Content ขึ้นมาแล้วอย่าหวังแค่เพียงว่าเขาจะ Like จะแชร์ หรือ Comment สิ่งหนึ่งที่ต้องวางแผนเผื่อคือ การติดอันดับดี ๆ บทหน้า google ด้วยคำค้นหาที่ลูกค้าเราต้องการ ยกตัวอย่าง หากเราทำร้านขายส้มตำปลาร้าไฮโซ ร้านตั้งอยู่แถวรามอินทรา หลักพื้นฐานในการเขียน Content ก็คือ หัวข้อบทความของเราก็ต้องมีคำว่า “ส้มตำ” และคำว่า “รามอินทรา” อยู่ในหัวข้อบทความเรา ถามว่าทำไม ก็ลองคิดดูสิครับว่า หากใครจะกินส้มตำ แถวรามอินทรา เขาก็ต้องหา “ร้านส้มตำรามอินทรา” ใช่ไหม คงไม่มีใครค้นหา “ร้านส้มตำพระราม 2” เพื่อที่จะมากินที่รามอินทรา ว่าไหม ? ส่วนต่อไปในเนื้อหาบทความก็ต้อง มีคำว่า ส้มตำ รามอินทรา อยู่ในเนื้อหา ด้วยครับ สัก 3-5 คำเป็นอย่างน้อย หลักการเบื้องต้นประมาณนี้ เราทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในเว็บไซต์ของเรา หรือ ในแฟนเพจ (ส่วนที่เป็น Note) เราก็จะยิ่งทำให้ร้านค้าของเรามีโอกาสติดอันดับดี ๆ บน google แถมยังได้รับการแชร์การ Like อีกต่างหาก ไหน ๆ จะเหนื่อยทั้งทีก็เหนื่อยให้คุ้มค่า !!! 10.แปลงบทความเป็นยอดขายได้ด้วยการใส่วิธีการซื้อหรือติดต่อ สิ่งที่เราพยายามทำอยู่นี้ บทความที่เราเขียน Content ที่เราสร้างท้ายสุดมันต้องเปลี่ยนมาเป็นยอดขายให้ได้ครับ เราทำธุรกิจไม่ได้ทำองค์กรการกุศล แม้ช่วงแรงมันจะยังไม่เห็นกำไร แต่อย่างน้อยต้องได้ทุนกลับมาบ้าง มีความเหมือนระหว่าง สินค้าที่จับต้องได้เช่น เครื่องสำอาง ,อาหารเสริม,เสื้อผ้า เป็นต้น และสินค้าที่จับต้องไม่ได้ที่เขาเรียกกันว่า Infoproduct ,คอร์สสัมมนา ฯ นั่นคือ เราต้องสร้างความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในศาสตร์นั้น ๆ ครับ บทความที่เราสื่อออกไปมันต้องใส่ความเป็นมืออาชีพของเราในธุรกิจ และต้องปิดด้วยช่องทางการการขาย ปิดด้วยการติดต่อเพื่อดำเนินการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ได้ครับ เราต้องการให้ลูกค้า อ่านบทความแล้ว เข้ามาปรึกษาเรา หรือ สั่งซื้อสินค้า ส่วนนี้ต้องมีครับ ผมต้องใช้คำว่า “อย่าเกรงใจ” หรือ “อาย” ที่จะบอกว่าเรามีสินค้า มีบริการอะไรนะครับ แต่อย่าเป็นประเภทหักมุม หักมุขกันจนคนอ่านหัวคมำ บทความเรื่องหนึ่งอ่านมาแล้วโอ้โหดีเลย แต่สุดท้ายมาขายสินค้าอะไรก็ไม่รู้อีกอย่าง มันเหมือนคนโดนหลอกให้ไปฟัง MLM อะไรประมาณนั้น (อันนี้ผมเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น) ปิดการขาย เปิดช่องทางติดต่อในบทความ ของเราให้ได้ครับ หากเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หากเขาเชื่อว่าเราสามารถเราช่วยเขาได้เขาจะติดต่อมาหาเราครับ ความแซ่บของ Content มันต้องฝึก แล้ว ก็ฝึกครับ ค่อย ๆ พัฒนากันไปครับ ลองนำ 10 ข้อที่ผมบอกมานี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของท่านดูนะครับ Cr: taokaemai.com 6 วิธีสร้างยอดขายออนไลน์
วิธีสร้างยอดขายออนไลน์หลักล้านต่อเดือนไม่ใช่เรื่องยาก มีคนทำสำเร็จเยอะแยะมากมายครับ ซึ่งรายละเอียดของจักรวาลเฟสบุคนั้นมีมากมาย และนี่คือส่วนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ครับ 1 ) จงสร้าง Content ที่ปั้นมาเพื่อ "ปิดการขาย" จากประสบการณ์การทำแฟนเพจ ในแบบให้ความรู้และขายของตรง ๆ สิ่งที่ผมพบก็คือ Content ที่สร้าง Viral มักไม่ได้สร้างยอดขายอลังการ อย่าให้จำนวนแชร์มันหลอกเรา ส่วนใหญ่ Campaign Viral จะทำให้คนรู้จักชื่อ แต่ไม่สามารถปิดการขายได้ ( Note : คำว่า Viral ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกระแส ที่ Social Media พูดถึงตลอด แต่ขอให้เป็นกระแสในขอบเขตธุรกิจนั้น ๆ ครับ ) แต่ในชีวิตจริง หลาย ๆ Content ที่ถูกขีดเขียนมาในแบบที่ Sharable คือแฟนเพจอ่านปุ๊ป ต้องอดใจไม่ไหว เราจะเห็น Content แบบนี้มีจำนวนยอดแชร์รวมไหลไปเป็น 1,000 เป็น 10,000 แต่กลับกลายเป็นว่า "ดูดี แต่ไม่มียอดขาย" 2 ) หา "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุดแล้วอัดฉีดเงินเข้าไป ข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของ Social Media และคนส่วนใหญ่มักพลาดที่จะใช้นั่นคือ "การปรับตัว" ด้วยความรวดเร็วของ Social Media เราสามารถปล่อย Campaign ได้ภายในครึ่งวัน แต่สิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านั้น คือการวัดผลตอบรับของลูกค้า ถ้าเป็น Offline นอกจากจะใช้เวลาออกแบบบูธ ทำ Backdrop จัดโต๊ะ แล้ว วงจรตั้งแต่เริ่มคิด Campaign จนถึงวัดผลยอดขายที่ได้รับอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือ 1 เดือน แต่ความเป็น Online อนุญาตให้เราปรับตัว และ "ทดลอง" การทำการตลาดออนไลน์ คือ การทดลองหาวิธีการสร้างยอดขายที่ดีที่สุดในขณะนั้น ยิ่งทดลองมาก ยิ่งได้เปรียบ เราอย่าคิดว่า แนวทางการโปรโมทที่ทำอยู่นี้คือดีที่สุดแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือปัจจุบันยังมีการอัพเดทของ Facebook หรือ LINE เมื่อ Direction ของแพลทฟอร์มเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตาม ถึงแม้จะยุ่งยากแต่เจ้าของแพลทฟอร์ม ก็ทำเพื่อพัฒนาให้ทุก ๆ คนพึงพอใจมากขึ้น ดังนั้น อย่าละเลยที่จะคิดวิธีการโปรโมทแบบใหม่ ยกตัวอย่างเช่น -เคยถ่ายรูปสินค้าเดี่ยว ๆ ลองมาถ่ายรูปกับสถานที่สวย ๆ ไหม -เคยใช้สื่อหลักเป็นภาพของทำคลิปดีไหม -เคยโปรโมทในแฟนเพจตัวเอง ลองใช้ Influencer ดีไหม (พวก Blogger หรือ Net idol) เมื่อเจอ Content ที่สร้าง Organic reach สูง ๆ กว่าโพสต์อื่น ๆ และมาพร้อมกับสัญญาณซื้อ คือ การทัก Inbox มาถามเรื่องสินค้า หรือคอมเม้นต์ถาม นั้นแปลว่าเราเจอ "นักวิ่ง" ที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้นแล้วครับ อัดเงินโฆษณาเข้าไปในโพสต์นั้นเน้น ๆ เลยครับ 3 ) ลดละเลิกการปั่นเพจไลค์แบบเลอะเทอะ สำหรับคนที่มีงบน้อย อย่าทุมงบทั้งหมดไปที่ Page Like เพราะมันไม่เคยการันตีอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ค่อนข้างจะห่างไกล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง ประเด็นที่ผมอยากจะถามก็คือ เราเพิ่ม Page Like เพื่ออะไรบ้าง? เพจหลักล้านบางเพจไม่สามารถสร้างยอดขายได้เยอะ เท่ากับ Followers ที่มี ซึ่งนั้นก็อาจจะเป็น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจทำเพจเพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายตั้งแต่แรก ยังเป็นแค่ Media เท่านั้น (สามารถอ่านละเอียด " xxx " ได้ที่ลิ้งนี้นะครับ) 4 ) พูดคุยกับลูกค้าเหมือนอยู่ตรงหน้าเรา ข้อดีของการ Chat ก็คือความรวดเร็วในการสื่อสาร ไม่ต้องมีเวลาเยอะหรือว่างพร้อมกัน ก็ส่งข้อความไปได้ แต่อีกมุมนึงที่สำคัญข้อเสียของการ chat คือ มันขาดความทรงพลังของการขาย เวลาที่เรา Copy ข้อความเพื่อส่งไปหาคนอื่น ๆ ในแชท เราจะรู้สึกว่า ข้อความไปได้อย่างรวดเร็ว แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยการ Follow up คนที่ได้รับข้อความนั้น ๆ ไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อตั้งแต่ได้ยินเสียงลุงขายไอศกรีมที่ถีบรถเข็นมา ใน Chat เราสามารถพูดคุยแบบส่วนตัวกับลูกค้าแต่ละคนได้ คำว่า "ส่วนตัว" ในที่นี้นั้นหมายถึง ความเฉพาะเจาะจงกับปัญหาของลูกค้า พื้นฐานของลูกค้า และระดับความพึงพอใจ ปรับความคิดซะใหม่ครับ การคุยกับลูกค้า คือ การขายให้กับลูกค้าที่สนใจ ไม่ใช่แค่การตอบส่ง ๆ ไปให้จบ Admin ที่เหมาะสมในการตอบลูกค้าคือ Admin ที่มีจิตของ "นักขาย" เราไม่ได้แค่ระบบอัตโนมัติ เราเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ โดยสรุปก็คือ อย่าปล่อยผ่านลูกค้าที่ทักมาทางแชทเรา ให้เหมือนกับลูกค้าที่เดินเข้ามาทักเราในบูธ เพราะทุกความสนใจมีมูลค่าเสมอครับ Note : เมื่อเราใช้โปรแกรมแชทคุยกับลูกค้า เราไม่สามารถแสดงน้ำเสียงอันเป็นมิตรได้ จงใช้ภาษาพิมพ์ที่เป็นกันเอง แต่สุภาพเพื่อแสดงความอบอุ่นผ่านตัวอักษร และอย่าลืมว่าช่องที่เราส่งข้อความไป มีคนรับสารเป็นคน เราสามารถพูดคุยได้เหมือนกับลูกค้าคนนึงที่เดินเข้ามาหยิบจับสินค้าในร้านครับ 5 ) วาง Mechanic ของการขายเอาไว้ ยอดขายเฉลี่ยต่อลูกค้า คือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก คนส่วนใหญ่ชอบวิ่งล่าลูกค้า ชอบใช้ "จำนวน" เป็นตัวนำ แต่จำนวนที่ไร้คุณภาพสร้างปัญหาตามมาเสมอ ถ้าลูกค้าของเรามีไม่เยอะอย่างตลาด Mass อื่น ๆ ซึ่งมันเป็นไปได้สูงที่ ผู้เล่นรายใหม่ หรือผู้เล่นรายเล็กอย่างเราจะเจาะตลาดเฉพาะ ซึ่งข้อเสียของตลาดเฉพาะก็คือ ฐานลูกค้าเล็กกว่าตลาด Mass เมื่อเล็กกว่าแต่อยากได้ยอดขายเท่ากันหรือมากกว่าตลาด Mass หนทางเดียวของตลาด Niche ก็คือ เพิ่มยอดขายต่อหัวของลูกค้า ซึ่งการวางกลไกนั้นเป็นเรื่องสำคัญครับ การที่ลูกค้าซื้อเยอะนั้นเกิดจากการวางแผนล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเทรน Admin อย่างดี หรือการวางโปรโมชั่นไว้เพื่อดันยอดขายให้ขึ้นไปจากที่ลูกค้าคาดคิดไว้ตอนแรก Key idea ของข้อนี้ก็คือ เรารู้ไหมว่า ลูกค้ายินดีจะจ่ายเพื่อสินค้าของเรามากที่สุดเท่าไหร่ 1,000 บาท แพงไปไหม หรือ 8,000 บาท ยังถูกไป Note : ราคานั้นขึ้นกับกลุ่มลูกค้าด้วยนะครับ C , B , A จะ Sensitive ต่อราคาแตกต่างกันออกไปครับ ขั้นต่ำที่ลูกค้าซื้อได้ คือ ขั้นต่ำที่เราจะขาย และการวางโปรโมชั่นนั้นเป็นไป เพื่อเพิ่มยอดขายต่อหัวให้เป็นระดับกลางและสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าจะซื้อครีมอยู่ที่ 1,200 บาท (ลูกค้าระดับ B ถึง B+) เราจัดเซ็ทโปรโมชั่นตั้งแต่ 2,100 บาท จนถึงเซ็ทสูงสุด 3,000 บาทก็ได้ a ) 1 หลอด 1,200 บาท b ) 2 หลอด 2,100 บาท c ) 3 หลอด 3,000 บาท การทำบันไดราคาที่ผูกกับ Volume เป็นรูปแบบนึงของ Promotion ที่จะเป็นกลไกช่วยดันให้ลูกค้าซื้อมากขึ้นกว่าที่เขาคิดครับ ส่วน Mechanic อื่น ๆ นั้นมีหลายรูปแบบครับ เช่น การสะสมแต้ม ,ทำระบบสมาชิก , การให้ส่วนลดสำหรับครั้งต่อไป , การแถมสินค้า Exclusive เป็นต้น และผมเชื่อว่ามีอีกหลายวิธีในการวางกลไก เพื่อให้การขายง่ายขึ้นและดันยอดขายได้เยอะขึ้นอีกครับ 6 ) ต้องบีบบังคับให้ลูกค้าซื้อ Procastination คือการผัดวันประกันพรุ่งที่น่ากลัว และเป็นภัยต่อยอดขายของเรา ลูกค้าถาม แต่ไม่ซื้อ อาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในตัวสินค้า แต่สาเหตุหลักอีกอย่าง ก็คือ ลูกค้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องซื้อตอนนี้ต่างหาก วันนี้ผมมี 2 วิธีที่จะให้ลูกค้าซื้อทันที a ) การกระตุ้นซ้ำ ธรรมชาติระหว่างอารมณ์กับยอดขายก็คือ อารมณ์สูงซื้อง่าย อารมณ์สูงจ่ายเยอะ และในทางกลับกัน อารมณ์ต่ำซื้อยาก อารมณ์ต่ำจ่ายน้อย ทุกครั้งที่เรายิงสื่อออกไป ก็เพื่อดึงอารมณ์ซื้อของลูกค้าให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ การยิงสื่อซ้ำ ก็เพื่อดึงความอยากให้กลับมาอีกครั้ง แต่ข้อแนะนำก็คือ ควรเปลี่ยนสื่อที่ใช้ เพราะลูกค้าจะคุ้นชินกับ Content เดิมไปแล้ว อารมณ์อยากซื้อจะไม่เท่ากับครั้งแรกที่ได้เสพ Content แน่นอน ดังนั้นต้องใช้ Content ใหม่ ยิงซ้ำในจุดเดิม เพื่อปลุกลูกค้าให้กลับมาอีกครั้งครับ b ) Limitation ความจำกัดกรอบการตัดสินใจ เวลามากก็เรื่องมาก ถ้าเราทำได้ดีในการสื่อสารกับลูกค้า เรื่องจุดขาย ความแตกต่างจากแบรนด์อื่น ความคุ้มค่า ก็เหลือภารกิจอย่างเดียวที่เราจะต้องพิชิต ก็คือ กรอบการตัดสินใจครับ ซึ่งข้อจำกัดที่มักใช้ในการตลาดนั้น ก็มีพวก เวลา ,จำนวนสิทธิ์ นั่นเอง ไม่มากไม่น้อยเกินไป จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้านั้นระยะเวลาที่เราต้องการครับ และทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยสร้างยอดขายให้คุณ ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะครับ Cr. salesarm.co.th Click here to 1. โฆษณาฟรี>>>โพสตามกลุ่มขายสินค้าต่าง ๆ แต่ทำให้ได้ลูกค้าน้อยและช้า กว่าจะมีลูกค้ามาสนใจสินค้า พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่อาจจะท้อและล้มเลิกไปก็ได้
2. โฆษณาฟรี >>>โดยการ Live สด ขายของโดยวิธีการก็คือ ไลฟ์สดไปในกลุ่มที่ประกาศขายสินค้า ซึ่งเป็นกลุ่มฟรี ท่านจะได้ลูกค้ามากกว่า ไลฟ์สดขายในเฟซส่วนตัว วิธีนี้ ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมคนทำมากเนื่องจากฟรี ไม่ต้องจ่ายตังค์ 3. การลงโฆษณา ยิงโฆษณาหรือยิง ads โฆษณาบน Facebook หรือ Instagram วิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้ลูกค้าเร็วที่สุด มากที่สุด แต่ต้องเรียนรู้วิธีทำให้ชำนาญ จึงจะได้ผล หรือจ้างบริษัท ที่มีความชำนาญหรือมืออาชีพช่วยทำ แต่ข้อเสียคือ ค่าเรียนหรือค่าบริการค่อนข้างสูง เพื่อน ๆ คงได้ทราบเทคนิคการดึงคนเข้ามาทักแชทแล้วนะครับ ถ้าอยากได้ผลไวก็ต้องยิงโฆษณาหรือใช้บริการบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพ มีฝีมือ มีริวจากลูกค้าว่าทำได้จริงนะครับ ชอบก็ Like ใช่ก็ แชร์ แบ่งปังให้เพื่อน ๆ ด้วยนะครับ ขอให้ทุกท่านขายดี รวย ๆ เฮง ๆ นะครับ edit. |
@adsprorichรับโปรโมทเพจ กระตุ้นยอดขาย ArchivesCategories |